“กงสีเก่า” ชื่อที่เราแทบไม่คุ้นหูหรือได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่เต็มไปด้วยเรื่องราวและที่มาที่ไปที่เล่ากันมาจากคนในพื้นที่ว่า จากยุคสมัยก่อนที่มีชาวจีนปีนัง เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาปักหลักทำอาชีพตัดไม้ป่าโกงกาง ตั้งโรงงานแปรรูปไม้อยู่บริเวณลุ่มน้ำคลองสิเกา เกิดการค้าขายแลกเปลี่ยนกับสังคมภายนอกจนมีผู้คนมาอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทรัพยากรป่าไม้ที่มีก็เริ่มลดน้อยถอยลง ชาวจีนจึงได้พากันอพยพย้ายไปตั้งถิ่นฐานทำกินที่อื่น ทิ้งให้โรงงานเก่าตั้งรกร้าง คนที่ผ่านไปมาจึงเรียกชื่อเมืองนี้ว่า “กงสีเก่า” จนกร่อนคำติดสำเนียงใต้พูดจนติดปากกลายมาเป็นคำว่า “สิเกา” ในที่สุด…
และนี่คือเรื่องราวเริ่มต้นที่เราอยากจะพาคุณไปทำความรู้จักกับชุมชนที่เคยเกือบจะหมดสิ้นทรัพยากรป่าไม้ชายฝั่ง จนกลับมามีพื้นที่สีเขียวเต็มลุ่มน้ำคลองสิเกาอีกครั้ง ด้วยการสร้างความตระหนักรู้ส่งต่อเรื่องราวให้กับคนในชุมชนและสังคม ผ่านเครื่องมือการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ปลูกจิตสำนึกการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อความยั่งยืน กับชุมชนที่มีชื่อว่า “ชุมชนบ่อหินฟาร์มสเตย์ จังหวัดตรัง”
กิจกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ่อหินฟาร์มสเตย์ อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง
1. ชมการเลี้ยงปลาในกระชังหน้าที่พัก สัมผัสวิถีชาวเลใกล้แค่เอื้อม
2. ลงสีผ้าบาติกลายพะยูน หนึ่งกระบอกเสียงเรื่องราวของสัตว์น้ำใกล้สูญพันธุ์
3. จากวัสดุธรรมชาติในชุมชน สร้างสรรค์สู่งานจักสานเตยปาหนันบ้านดุหุน
4. ชมวิธีการทำปลาเค็มกางมุ้งถึงถิ่น ของฝากขึ้นชื่อสดใหม่จากทะเลสิเกา
5. ลัดเลาะคลองสาขา ชมบ่อน้ำพุร้อนซ่อนตัวกลางป่าชายเลนหนึ่งเดียวในไทย
6. ล่องเรือโทง ชมความสวยงามของภูเขาหินปูนเวิ้งอ่าวบุญคง
7. เดินรับลมชมพระอาทิตย์ตกเมื่อยามน้ำลด ที่หาดเก็บตะวัน
8. ทานอาหารพื้นบ้านปรุงสด ๆ จากวัตถุดิบลุ่มน้ำคลองสิเกา
* นักท่องเที่ยวสามารถตรวจสอบกิจกรรมที่เหมาะสมในแต่ละช่วง และติดต่อชุมชนล่วงหน้า เพื่อให้ทางชุมชนได้เตรียมความพร้อมในแต่ละกิจกรรมได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
1. ชมการเลี้ยงปลาในกระชังหน้าที่พัก สัมผัสวิถีชาวเลใกล้แค่เอื้อม
เรามีนัดกับ พี่บรรจง ประธานวิสาหกิจชุมชนเลี้ยงปลากระชังบ้านพรุจูด ผู้ที่จะพาเราไปเรียนรู้ไปทำกิจกรรมท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบ One day trip ในครั้งนี้ เริ่มต้นกันที่ฟาร์มเลี้ยงปลาในกระชังหน้าที่พักโฮมสเตย์ที่มีห้องพักและสถานที่ไว้บริการนักท่องเที่ยวทั้งแบบพักค้างคืน หรือมาทำกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ โดยเราจะได้พบกับกระชังเลี้ยงปลากะพงขาว และปลาเก๋า ที่ชาวประมงพื้นบ้านนิยมเลี้ยงในคลองสิเกาใกล้บริเวณปากอ่าว ซึ่งถือเป็นทำเลที่มีคุณภาพน้ำเหมาะสมกับสภาพการเลี้ยงปลาในกระชังเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ทางโฮมสเตย์ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอื่น ๆ อีก เช่น กิจกรรมเรียนรู้การอนุบาลปูม้า การปลูกต้นโกงกาง การปลูกหญ้าทะเล ซึ่งแต่ละกิจกรรมนั้นจะมีให้ทำในแค่บางฤดูกาลเท่านั้น สามารถโทรสอบถามตรวจสอบกับทางโฮมสเตย์ล่วงหน้าก่อนที่จะเข้าไปทำกิจกรรมเชิงนิเวศน์ที่ชุมชนบ่อหินฟาร์มสเตย์
ประมาณการค่าใช้จ่ายที่พักโฮมสเตย์ ราคา 200-250 บาท/ คน/ คืน
2. ลงสีผ้าบาติกลายพะยูน หนึ่งกระบอกเสียงเรื่องราวของสัตว์น้ำใกล้สูญพันธุ์
ระหว่างช่วงที่รอเวลาน้ำลงเพื่อที่จะไปทำกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศด้วยการล่องเรือ นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปร่วมทำกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชนอื่น ๆ ที่มีความหลากหลาย เริ่มต้นกันที่ “กลุ่มสตรีบาติกบ้านพรุจูด” ซึ่งชาวบ้านได้พัฒนาลายผ้าบาติกให้นักท่องเที่ยวได้มาทดลองเขียนเทียน มาเรียนรู้การลงสีผ้าบาติก ด้วยลายอันเป็นเอกลักษณ์ของชุมชน นั่นก็คือ ลายครอบครัวปลาพะยูน เพื่อสร้างการตระหนักรู้ให้กับสังคมภายนอก ถึงภาวะเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ของสัตว์น้ำน่ารักประจำท้องทะเลตรัง ที่ยังคงหลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่ร้อยตัวแล้ว
ประมาณการค่าใช้จ่ายกิจกรรมลงสีผ้าบาติก 40 บาท/ คน/ ผืน
3. จากวัสดุธรรมชาติในชุมชน สร้างสรรค์สู่งานจักสานเตยปาหนันบ้านดุหุน
ด้วยสภาพพื้นที่ของอำเภอสิเกามีชายหาดติดทะเลเป็นแนวยาว ทำให้เกิดระบบนิเวศประเภทป่าชายหาดที่มีพืชพันธุ์ชนิดพิเศษขึ้นอยู่จำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือ “เตยปาหนัน” พืชที่มีลักษณะเป็นต้นกอขนาดใหญ่สูงได้ถึง 4 – 5 เมตร ลักษณะใบยาวเรียวมีหนามแหลม โดยคุณสมบัติของใบเตยปาหนันจะมีความเหนียวทนทาน เหมาะแก่การทำงานจักสาน ชาวบ้านจึงได้รวมกลุ่มก่อตั้ง “กลุ่มจักสานเตยปาหนันบ้านดุหุน” ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่อยู่ติดกับบ้านพรุจูด ได้นำใบต้นเตยปาหนันมาผ่านกระบวนการต้มและตากแห้ง จากนั้นนำเส้นไปย้อมสีให้เกิดลวดลาย เพื่อนำไปจักสานเป็นของใช้ต่าง ๆ ทั้งกระเป๋า หมวก และเสื่อ ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับของที่มีอยู่ในชุมชนและสร้างรายได้เสริมให้กับชาวบ้านดุหุน
4. ชมวิธีการทำปลาเค็มกางมุ้งถึงถิ่น ของฝากขึ้นชื่อสดใหม่จากทะเลสิเกา
อีกหนึ่งของดีของเด็ดที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ “ปลาเค็มกางมุ้งสิเกา” เราได้มีโอกาสเข้าไปดูแหล่งผลิตปลาเค็มกันแบบสด ๆ โดยปลาเค็มที่มีชื่อเสียงของที่นี่มากที่สุด คือ “ปลาสีเสียด” ปลาเนื้อแน่นที่มีขนาดใหญ่น้ำหนักกว่า 10 กิโลกรัมต่อตัว มาผ่านกระบวนการทำความสะอาด หมักเกลือ และนำไปอบตากแห้งในโรงอบ สามารถนำไปทำเมนูอาหารต่าง ๆ ได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็น แกงเทโพ ผัดคะน้าปลาเค็ม หรือจะทอดเปล่า ๆ ทานกับข้าวสวยร้อน ๆ ก็เข้ากันได้ดี
5. ลัดเลาะคลองสาขา ชมบ่อน้ำพุร้อนซ่อนตัวกลางป่าชายเลนหนึ่งเดียวในไทย
เมื่อได้เวลาน้ำลงเต็มที่ของแต่ละวันในช่วงบ่าย ก็จะถึงเวลาของโปรแกรมล่องเรือท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่เราจะได้ไปชมแลนด์มาร์คจุดสำคัญต่าง ๆ ตั้งแต่วิวทิวทัศน์ของป่าชายเลนไปจนถึงอ่าวสิเกา โดยจุดหมายจุดแรกที่เรือจะแวะให้เราชมกัน คือ “บ่อน้ำพุร้อนกลางป่าชายเลน” หลายคนอาจจะสงสัยว่ากำลังพูดเล่นอยู่หรือเปล่า ฟังไม่ผิดอย่างแน่นอน เพราะนี่คือหนึ่งในความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่มีหนึ่งเดียวในประเทศไทย บ่อน้ำพุร้อนกลางป่าชายเลนบริเวณคลองสาขามีอุณหภูมิน้ำในบ่อสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถที่จะแช่เท้าในลำธารน้ำไหลจากบ่อหลักที่มีความอุ่นกำลังดี หรือจะพอกตัวสปาโคลนธรรมชาติก็ดีไม่แพ้กัน เพราะบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ไม่มีกลิ่นกำมะถันรบกวนแม้แต่น้อย
ประมาณการค่าใช้จ่ายกิจกรรมล่องเรือท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ 1,000 บาท/ ลำ
6. ล่องเรือโทง ชมความสวยงามของภูเขาหินปูนเวิ้งอ่าวบุญคง
ล่องเรือออกจากปากคลองสิเกามุ่งหน้าไปยังอ่าวบุญคง มีลักษณะเป็นภูเขาหินปูนสูงใหญ่ล้อมรอบเป็นเวิ้งอ่าว เข้าถึงได้ด้วยทางเรือเท่านั้น โดยความพิเศษของอ่าวบุญคง คือ เมื่อยามน้ำลดจะโผล่ให้เห็นถึงแนวปลูกหญ้าทะเล ซึ่งเป็นแหล่งอาหารหลักของปลาพะยูน ที่ชุมชนช่วยกันอนุรักษ์เปิดให้กลุ่มเรียนรู้หรือนักท่องเที่ยวลงมือปลูกด้วยตัวเอง เพื่อให้พะยูนมีแหล่งหากินที่เพิ่มมากขึ้น และในยามที่น้ำขึ้นเต็มที่ก็ยังสามารถล่องเรือลัดเลาะชมความสวยงามของภูเขาหินปูนโดยรอบ โดยมีไฮไลท์ คือ ภาพเขียนสีโบราณที่อยู่บนเพิงถ้ำหินปูนอายุ 2,000 – 4,000 ปีก่อน สันนิษฐานกันว่าอาจถูกใช้เป็นที่พักชั่วคราวระหว่างเดินทางหรือเพื่อหลบลมมรสุมของคนเดินเรือในสมัยก่อน
ประมาณการค่าใช้จ่ายกิจกรรมล่องเรือท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ 1,000 บาท/ ลำ
7. เดินรับลมชมพระอาทิตย์ตกเมื่อยามน้ำลด ที่หาดเก็บตะวัน
“หาดเก็บตะวัน” เป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายของวันนี้ โดยเราจะไปชมพระอาทิตย์ตกแสงยามเย็นกันที่ปากอ่าวกลางทะเล ซึ่งช่วงน้ำลดจะเผยให้เห็นพื้นทรายกว้างไกลสุดสายตา สามารถเดินชมวิวที่เห็นไกลไปจนถึงเกาะหลอหลอ และดูสัตว์น้ำที่อยู่บนพื้นทะเลหลังน้ำลด เช่น หอย ปู ปลาดาว ก่อนที่จะกลับไปรับประทานอาหารเย็น ณ ที่พัก
ประมาณการค่าใช้จ่ายกิจกรรมล่องเรือท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ 1,000 บาท/ ลำ
8. ทานอาหารพื้นบ้านปรุงสด ๆ จากวัตถุดิบลุ่มน้ำคลองสิเกา
หลังจากออกไปล่องเรือโต้คลื่นกันกลางทะเล ก็ได้เวลากลับที่พักเพื่อไปทานอาหารเย็นจากโฮมสเตย์กันบ้าง โดยจะเป็นมื้ออาหารพื้นบ้านง่าย ๆ ตามที่คนในชุมชนกินกัน มีทั้ง ปูดำนึ่ง หอยแมลงภู่นึ่ง แกงส้มปลากะพงขาว ปลาเค็มกางมุ้งทอด น้ำพริกกะปิผักสด สาหร่ายทะเลสด โดยอาหารที่นักท่องเที่ยวจะได้ทานนั้น จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละฤดูกาล
ประมาณการค่าใช้จ่ายทานอาหารทะเลพื้นบ้านที่โฮมสเตย์ 250 – 350 บาท/ คน (ราคาขึ้นอยู่กับจำนวนคน)
พิกัดการเดินทางไปยังชุมชน
การเดินทาง
ติดต่อผู้ประสานงานการท่องเที่ยวโดยชุมชน และที่พักโฮมสเตย์ได้ที่
แท็กที่เกี่ยวข้อง
Community Travel
Bo Hin Farm Stay Community
Pla Khem Hanging Mosquito Net
Boon Kong Bay
Kebtawan Beach